พี่การ์ตูน รีวิว LLM Bristol vs Durham I เรียนต่อ Bristol Law School

พี่การ์ตูน รีวิว LLM Bristol vs Durham I เรียนต่อ Bristol Law School

รีวิวเรียนต่อ Bristol และ Durham หลักสูตร International Trade Law และ International Commercial Law


แนะนำตัวเองหน่อยค่ะ? - ชื่อ Kaewta Thatanchuleekun ชื่อเล่น ตูน ตอนนี้กำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาอยู่ค่ะ เรียน LLM Master of Law in Commercial Law ใบแรก ที่ University of Bristol ส่วนใบสองเรียนที่ Durham University เรียน LLM in International Trade and Commercial Law คอร์สนี้ กต. เค้าจะจัดเป็นกฎหมายเฉพาะทางค่ะ ทำไมตัดสินใจไปเรียน Master Degree ใบแรกที่ University of Bristol แล้วไปเรียน Master Degree ใบสองที่ Durham University คะ? - ก่อนอื่นเลยชอบเมือง Bristol ค่ะ แล้วก็ดูที่ Ranking คือตัดสินใจไปเพราะว่าเมือง Bristol ดูมีชีวิตชีวาสดใส แล้ว มีกิจกรรมให้ทำตลอดปี เป็นเมืองไม่น่าเบื่อ และอยู่ใกล้ London แล้ว Ranking ก็ถือว่าดีของอังกฤษ เลยเลือกเป็นที่นี่ค่ะ ส่วนใบที่สองที่ Durham ก็คือหากฎหมายเฉพาะทางเรียนอยู่ และที่ Durham ก็มี และก็เห็นว่ามีเด็กไทยเรียนอยู่เยอะหน่อย ไม่น่าจะเหงา และก็อยากไปสัมผัสการไปเรียนทางเหนือดู เพราะใบแรกที่เรียนที่ Bristol มันอยู่ทางใต้ค่ะ บรรยากาศของที่เมือง Bristol กับ Durham ต่างกันมากไหมคะ? - ต่างมากๆ เลยค่ะ คือเมือง Bristol มันจะอยู่ทางใต้อากาศมันก็จะสดใสหน่อย แดดเยอะ และก็เด็กกฎหมายที่ Bristol จะได้เรียนตึก Wills Memorial Building ก็จะเป็นตึกที่เก่าแก่ที่สุดของ Bristol ค่ะ อารมณ์จะคล้ายๆ Hogwarts ค่ะ ^^ เฉพาะเด็กกฎหมายที่ได้เรียนที่ตึกนี้ค่ะ เมืองจะมีสีสัน มีกิจกรรมให้ทำตลอดค่ะ ถ้าที่ Durham จะเป็นอีกแบบนึงเลย จะเงียบกว่า เป็นเมืองการเรียนค่ะ ยกตัวอย่างวิชาสามวิชาที่เราชอบที่สุดหน่อยคะ แล้วก็ชอบเพราะอะไรคะ? - ที่ University of Bristol วิชาแรกก็จะเป็น Corporate Governance จะเป็นการเรียนเกี่ยวกับการจัดการบริษัทให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ Focus เฉพาะแค่ผลกำไรของบริษัทแต่ว่าคิดถึงสภาพรอบข้างและก็ลูกจ้างในองค์กร ก็จะเห็นภาพรวมในองค์กร ว่านายจ้างกับกฎหมายทางอังกฤษเนี่ยเค้าให้ความสำคัญกับองค์ประกอบรอบข้างนอกจากกำไรของบริษัทยังไง อาจารย์ที่สอนก็จะเป็น Professor ที่มีชื่อเสียงของ England เลยค่ะ เป็นอาจารย์รับเชิญไปมหาวิทยาลัยดังๆ แล้วก็แต่งหนังสือกฎหมาย เรื่อง Corporate Governance ให้เด็กที่ England เค้าเรียนกันค่ะ เค้าเป็น Professor ที่ University of Bristol ค่ะ อาจารย์น่ารัก ใจดีมากค่ะ วิชาต่อมาเป็น Finance อาจารย์ที่สอนเก่งมากค่ะ แต่ไม่ใช่คนอังกฤษแท้ๆด้วยนะคะ อาจารย์เป็นคนสเปน แต่เค้ามีความรู้ในทางปฏิบัติดีมากค่ะ ก็จะให้เราคิดวิเคราะห์ แล้วก็แย่งกันตอบในห้องค่ะ ซึ่งเราก็ต้องเตรียมตัวมาก่อนแล้วก็ไปนั่งเรียน อีกวิชาหนึ่งเป็น Company Law ค่ะ อาจารย์น่ารักมาก เป็นคน อังกฤษ อาจารย์เก่ง แล้วเค้าก็เข้าใจว่าเด็กที่มาเรียนก็คือมีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งเอเชีย, ยุโรป และ อังกฤษ ที่มาเรียนในห้องสัมมนาเดียวกันค่ะ แล้วเค้าก็เปิดกว้าง ให้โอกาสเราคิด ตอบ ไม่กดดัน - ส่วนของ Durham University วิชาแรกก็จะเป็น EU Law ค่ะ คือก็จะเป็นวิชากฎหมายที่แปลกใหม่ที่เราไม่เคยเรียน ในการติดต่อการค้า หรือว่ากฎหมายที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจภายใน EU เป็นยังไง ไปเรียนแรกๆ ก็ยังงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ก็ต้องศึกษาต้องอ่านเยอะๆ ค่ะ วิชาต่อมาก็เป็น Commercial Fraud ค่ะ เป็นกฎหมายใหม่ที่เราไม่เคยเรียน เค้าจะมีวิธีการควบคุมที่ไม่ทำให้เกิด Ford การทุจริต ฉ้อโกงในบริษัทค่ะ ทางกฎหมายอังกฤษเค้าจะมีมุมมองยังไง วิชาที่เรียนที่ Durham University จะเป็นวิชาเฉพาะทาง จริงๆวิชาที่ลงมันหลากหลายค่ะ อีกวิชานึงก็จะเป็น Intellectual Property Law ตูนลงเรียนทั้ง IP ทั่วไป แล้วเทอมสองก็จะเป็น Specialize IP เทอมแรกก็จะเป็นหลักทั่วไปก่อนของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนเทอมสองจะเจาะลึกลงไปในเนื้อหาแน่นขึ้นกว่าเดิม แล้วคำถามใน Essay ก็จะยากขึ้น น้องตูนคิดว่าตัว Nature ของคอร์ส LLM ของทั้ง 2 ที่ เหมาะกับคนลักษณะแบบไหนบ้างค่ะ ที่จะไปเรียนได้ แล้วจำเป็นว่าต้องมีพื้นฐานด้าน Law มาก่อนไหมค่ะ? - เรียน LLM ที่ University of Bristol ต้องเป็นเด็กที่ขยันนะคะ หลักๆต้องขยัน กระตือรือร้น Active ตลอดเวลาค่ะ เพราะว่าการเรียนการสอนจะเน้นให้เรามีส่วนร่วมใน Class เค้าจะแบ่งเป็น Lecture แล้วก็ Seminar ทุกอาทิตย์ค่ะ หรือไม่ก็สองอาทิตย์ แล้วก็เว้น 1 อาทิตย์ แต่ว่าเราจะเข้าไปเรียนแบบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยไม่ได้นะ เราต้องศึกษามาเป็นอย่างดี พวก Material ที่อาจารย์ให้อ่าน เค้าจะ Assigned มาว่า Seminar ครั้งนี้จะสอนถึงเรื่องนี้ หน้านี้นะ เราก็ต้องกลับไปอ่าน อยู่ในห้องจะไปนั่งนิ่งๆไม่ได้ อาจารย์จะให้เราตอบคำถาม LLM ที่ University of Bristol ก็จะเหมาะกับน้องที่อยากได้ความรู้และอยากไปสัมผัสการเรียนการสอนที่อังกฤษจริงๆ ค่ะ - เรียน LLM ที่ Durham University จะรู้สึกว่า Chill กว่า อาจจะเพราะว่าตูน เจอหนักๆ ที่ University of Bristol มาแล้ว ที่ Durham University เค้าจะแบ่งการสอนเป็น Lecture แล้วก็ Seminar เหมือนกัน แต่ว่า Seminar เค้าจะมีความไม่โหดเหมือน University of Bristol ค่ะก็คืออาจารย์เค้าก็จะรู้ Style เพราะว่าเด็กเอเชียไปเรียนค่อนข้างเยอะ ไม่ค่อยกดดันเราเท่าไร ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ส่วนของ University of Bristol ส่วนมากนักเรียนจะเป็นฝั่งยุโรปแล้วก็อังกฤษที่มาเรียนเยอะ เราก็เลยกดดัน อาจารย์เค้าค่อนข้างคาดหวังให้เราเตรียมตัวไปดีๆ แล้วก็ไปตอบปัญหาในห้อง จะได้ฝึกคิด ก็จะต่างกับ Durham University ตรงนี้ ที่ University of Bristol และ Durham University มีได้ทำ Dissertation หรือเปล่าคะ และมีกำหนดไหมว่าต้องเขียนกี่ Word? - มีทั้งสองที่ค่ะ ที่แรก University of Bristol ก็จะเป็น Dissertation 12,000 word ไม่รวม footnote นะคะ ระหว่างทำก็จะมีการ Consult กับที่ปรึกษาเราเป็นระยะๆ แต่จุดต่างกันก็คือที่ University of Bristol จะกำหนดว่าเราจะเจอ Professor ของเราได้แค่ 2 ครั้งแล้วหลังจากนั้นคือเราต้องทำเอง คือถ้า Email ไปถามเพิ่ม เขาก็จะไม่ตอบคำถามนั้น แต่น่าจะแล้วแต่ Professor ด้วยนะคะ คือเราต้องเตรียมพร้อม ณ ครั้งนั้นๆ ที่อาจารย์นัด แล้วก็มีอะไรเราก็ถามเขาตอนนั้นเลย หลังจากนั้นเราลงมือเขียน ลงมืออ่านเองน่ะค่ะ ความยากก็จะอยู่ที่การติดต่ออาจารย์ยาก แต่ของ University of Bristol เขาก็จะกำหนดนะคะว่าครั้งที่ 1 วันไหน ครั้งที่ 2 วันไหน เราก็ต้องเตรียมตัวไปให้พร้อม เป็นการทำ Dissertation คนเดียวค่ะ มีกำหนดขั้นต่ำไว้ว่าต้องไม่ต่ำกว่า 10,000 คำนะคะ - ส่วนของ Durham University จะเขียน Dissertation 10,000 คำค่ะ ขั้นต่ำก็ไม่ควรจะน้อยกว่า 8,900 คำประมาณนี้ค่ะ ของ Durham University จะ Chill กว่า เราจะ Email ถามอาจารย์ตลอดเวลา เขาก็จะคอยตอบตลอด เพื่อนๆ ใน Class ส่วนใหญ่มาจากไหนกันบ้างคะ? - ก็หลักๆถ้าที่ University of Bristol จะเป็นเด็กอังกฤษเยอะค่ะ อย่างมีวิชาหนึ่งที่ไปเรียนวิชา Contact Law กฎหมายสัญญาทั้งคลาสก็จะเป็นเด็กอังกฤษทั้งนั้นเลย เราก็จะไปเป็นเด็กเอเชียอยู่ 2-3 คน ในคลาส Seminar นะคะ จะมีประมาณ 20 คนอย่างเนี้ย ก็จะมีเอเชียอยู่ไม่เกิน 3 คน นอกนั้นก็จะเป็นอังกฤษ แล้วก็ยุโรปแต่ถ้ามาส่วนของ Durham University เด็กเอเชียจะเยอะค่ะ เด็กเอเชียทีเจอก็มีคนจีน แล้วก็มีเกาหลี นอกนั้นจะเป็นโซนยุโรป อังกฤษ ในการเรียนเราก็หนักอยู่แล้ว พวกสำเนียงมีปัญหาทำให้เราเข้าใจยากบ้างไหมคะ? - มันจะเป็นช่วงแรกๆ ตอนที่ไปเรียน Pre-sessional English Course เราก็จะไม่คุ้นสำเนียงเขา อยู่ไปสักพักหนึ่งเราก็จะชิน ชินกับ British แรกๆก็จะยาก เพราะเราไม่คุ้นสำเนียงเขาเท่าไหร่ เค้าจะพูดสั้นๆ อย่างคนอินเดียในห้อง Seminar ที่ Bristol ก็จะมีนิดนึงนะคะ ก็จะงงเวลาที่เขาตอบคำถามอาจารย์ ในห้อง Seminar แล้วเขาตอบเราก็จะไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่อาจารย์ก็จะถามต่อยอด ถ้าไม่เข้าใจว่าถามอะไร เราก็พยายามตอบเท่าที่เราคิดได้ แล้วอาจารย์ก็จะตบๆให้เข้าที่เอง แล้วเขาก็จะถามประมาณว่าที่คุณพูดหมายความว่าอย่างนี้ใช่ไหม ประมาณนี้ค่ะ แล้วบรรยากาศในการเรียนเป็นยังไงคะ? - ที่ Bristol บรรยากาศในห้องก็จะตึงเครียดหน่อย เพราะเขาจะสัมมนากันจริงจัง แต่ก็ฝึกทักษะให้เรารู้จักคิดวิเคราะห์ ส่วนของ Durham University จะ Chill กว่าถ้าเราไม่ตอบในคลาส ข้อไหนที่เราไม่รู้ เขาก็จะไม่กดดัน เขาก็จะเข้าใจเรา คลาสถ้าเป็น Lecture ก็จะเรียนรวมหมดเลย แต่ว่าถ้าเป็น Seminar นะคะ ทั้ง University of Bristol และ Durham University เขาก็จะแบ่งห้องเรียนให้อาจารย์ดูแลเราได้ทั่วถึง อาจารย์แต่ละท่านเป็นยังไงบ้างคะ ตัดเกรดโหดไหมคะ? - อาจารย์ทั้ง University of Bristol และ Durham University ใจดีค่ะ อาจารย์เขาก็จะเข้าใจเราว่าเราเป็นนักศึกษาต่างชาติมาเรียนอาจจะตามไม่ทัน ถ้าเรามีข้อสงสัยในคลาสเราก็ถามเขาได้เลย หรือจะ Email ไปถาม หรือมาพบที่ห้องก็ได้ การตัดเกรดที่ Bristol ถ้าเราลงเป็นวิชาที่ทั้งสอบแล้วก็เขียน Essay ด้วย วิชาสอบเราก็ต้องได้ 50 คะแนนเต็ม 100 นะคะถึงจะผ่าน ไม่งั้นก็ตกไปเลย แต่เขาจะมีให้สอบซ่อมค่ะ ถ้าเป็นวิชาที่ต้องมี Essay ด้วย สอบเราก็ต้องได้ 50 คะแนน เขาก็จะเอาคะแนน Essay มารวมกันแล้วก็หาร ถ้าได้ 50 ก็คือผ่าน แต่ถ้าต่ำกว่าก็คือตกแล้วเราก็จะต้องมาสอบซ่อมอีกทีนึง ส่วนที่ Durham University ที่ตูนลงไปจะเป็นเขียน Essay หมดเลย เพราะไม่อยากสอบแล้ว เราเข็ดกับการสอบที่ University of Bristol เพราะมันอ่านหนังสือหนักมาก แล้วก็เครียดในห้องสอบ แต่การเขียน Essay รู้สึกว่ามันไม่เครียดเท่า เพราะมันอยู่ที่การจัดการเวลาของเราเองหมดเลย ว่าเราจะอ่านยังไง เขียนยังไง ถ้าไม่เข้าใจเราก็สามารถ Email หา Professorได้ มหาวิทยาลัยมี service ช่วยดูหรือหาที่ฝึกงาน หรือทำ Project กับบริษัทมั้ยคะ? - มีค่ะ มหาลัยเขาจะ Email มาแจ้งเราตลอดเวลาว่ากิจกรรมทางการศึกษา ทางนี้จะมีบริษัท Law firmต่างๆ เข้ามาคัดเลือกนักเรียนไป ของ University of Bristol เขาจะมี Job Fair, Law Fair มาจัดค่ะ จะมี Law Firm ทั้งอังกฤษมา ใครอยากสมัครงาน หรือไปเป็น Trainee ก็สมัครในงานนั้นได้เลย หรือถ้าไม่ทันก็จะมี Emailมาแจ้งว่าสามารถสมัครเป็น Trainee ได้นะ ของ Durham University เหมือนกัน เท่าที่ทราบนะคะจะเป็น Email มา จากการที่เราไปเรียนมาทั้ง University of Bristol และ Durham University เราคิดว่าเราได้ความรู้ได้ประสบการณ์อะไรมาบ้าง ที่จะนำไปต่อยอดกับการทำงานของเราคะ? - หลักๆ น่าจะเป็นวิธีฝึกคิดวิเคราะห์ในการเรียนกฎหมายมากที่สุด เพราะว่ามันต่างจากที่เรียนในไทย อย่างที่ธรรมศาสตร์ เราก็จะนั่งฟัง Lecture เท่านั้นใช่ไหมคะ แต่ที่อังกฤษเขาจะฝึกให้เราคิด ให้เราทำการบ้าน ให้เราอ่านมาก่อนที่จะเข้าห้องเรียนน่ะค่ะ เพื่อที่จะไปตอบปัญหากับอาจารย์ ไปฝึกคิดต่อยอดกับเพื่อน แล้วก็อาจารย์ ซึ่งตรงนี้ก็น่าเอาไปปรับใช้ในการทำงานต่อไปได้ มีความประทับใจอะไรบ้างไหมคะ ตอนไปเรียนที่ University of Bristol และ Durham University? - University of Bristol ที่ประทับใจจะเป็นเมืองค่ะ เมือง Bristol เขาจะทำให้เรารู้สึกอยากไปนั่งเรียน เป็นเมืองที่ไม่ใช่เมืองเงียบๆค่ะ เป็นเมืองที่มีนักศึกษาอยู่เยอะ มีพวกพนักงานออฟฟิศ เป็นออฟฟิศทำงานต่างๆ ตื่นตาตื่นใจตลอดเวลา Campus เขาจะอยู่ในเมืองไม่ใช่ Campus ที่แยกออกมาจากเมือง เพราะฉะนั้นก็จะอยู่ใกล้ร้านกาแฟ ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นห้องสมุดจะไม่น่าเบื่อค่ะ แล้วอาจารย์ก็น่ารักมาก ถึงเขาจะ Strict ในการเรียน แต่เขาก็จะเห็นใจเรา มีอะไรก็ถามเขาได้ตลอด เพื่อนที่ University of Bristol อ่ะ ปีที่ตูนไปเรียนมีคนไทยน้อยแค่ 7-8 คนสำหรับ Law นะคะ ก็เลยจะมีเพื่อนต่างชาติเยอะ เป็นเพื่อนชาวยุโรป เอเชีย แล้วก็อังกฤษ ทุกวันนี้เพื่อนๆที่ University of Bristol ก็ยังติดต่อกันอยู่ค่ะ - ส่วนที่ Durham University ปีที่ตูนไปเรียนน่ะคนไทยเยอะ อบอุ่น มีอะไรเราก็จะถามกันได้ ทำให้บางทีมันก็ดีตรงที่เราเข้าใจเนื้อหาการเรียนมากกว่า ตรงที่เราได้ปรึกษากัน ทำความเข้าใจร่วมกัน ที่ Durham University จะมีจัด Thai Night ด้วย ทาง BRIT Education UK เป็น Sponsor ให้ เพิ่งจัดไปก่อนที่จะเรียนจบกันนี่เองค่ะ ที่ Durham University ก็ จะอบอุ่นหน่อย อาจารย์เขาจะ Responses ได้ตลอด เรา Email ไปหาเขาได้ตลอด เขาก็จะตอบ เมืองDurham เป็นเมืองเงียบๆ เหมาะสำหรับคนที่จะ Focus การอ่านหนังสือมากกว่า ไม่ใช่แบบไปเที่ยวมากมายเท่าไหร่ อยากให้ฝากถึงน้องๆ ที่จะไปเรียนหน่อยค่ะ ว่าควรจะเตรียมตัวยังไง คอร์สที่จะไปเรียนเหมาะกับน้องอย่างไรบ้าง? - ที่ University of Bristol อยากให้มาเรียนกันมากๆ เพราะว่าอยู่แล้วมีความสุข เป็นทุกรุ่นแหละไปถามได้ มีกิจกรรมให้ทำตลอดปีเลยไม่ว่าจะเป็น International Balloon Fiesta เขาจะจัดทุกปี คนทั้งอังกฤษเขาก็จะบินกันเพื่อมาดูเลยนะคะ จะไม่เหมือนที่ตุรกี ที่นั่นเขาจะจัดให้คนขึ้น แต่ของที่ Bristol เขาจะรวบรวม Balloon ของทั้งอังกฤษมาจัดโชว์ แบบเปิดไฟ เปิดเพลง เหมือนเป็น Big Event จะเหมือนที่ไทยที่ Singha Park,เชียงราย แต่ที่นี่เขาก็จะจัดใหญ่กว่า เราก็จะมีความภูมิใจเพราะจะมี Balloon ของ University of Bristol พอเราเห็น Balloon เด็ก Bristol ก็จะกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ส่วนบรรยากาศการเรียนน้องๆ ที่อยากไปสัมผัสความตื่นเต้นในการเข้าห้องเรียน ในการฝึกคิดวิเคราะห์ ในการเรียนจริงๆ ก็ไปที่ University of Bristol เมือง Bristol อยู่ไม่ไกลจาก London ด้วยเดินทางประมาณชั่วโมงนึง ด้วยรถไฟชั่วโมงกว่าๆก็ถึง อาทิตย์นึงตูนไปประมาณ 1-2 ครั้งเลยนะ มันมีความสะดวกตรงที่เข้าไปง่าย - ที่ Durham University จะเหมาะกับน้องที่มาแรกๆ แล้วกลัวที่จะไปเจอกับ Culture shock เพราะที่นี่คนไทยมาเรียนกันเยอะทุกปี มาแล้วก็จะมาช่วยกันเรียน ช่วยกันติว เมืองมีความเงียบสงบไม่วุ่นวายพลุกพล่านปลอดภัย มีเพื่อนคนไทยเยอะ ส่วน Durham ถ้าจะไป London เดินทางด้วยรถไฟใช้เวลา 3 ชั่วโมง ตูนเลยไม่ค่อยได้ไป London แต่ข้อดีคือติด Scotland เดินทางไป Edinburghได้ง่ายค่ะ ^^ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสมัครเรียน ติดต่อพี่ๆ BRIT-Ed ได้ที่ Line ID: @brit-ed Tel: 02-168-7890, หรือลงทะเบียนที่แบบฟอร์มด้านล่างบริการทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นค่ะ

ลงทะเบียนร่วมงาน

  • ข้อมูลส่วนตัว

  • หลักสูตรที่สนใจศึกษาต่อ